สิ่งเร่งด่วนของการสมัครงาน ไม่ใช่การทำ Resume !!!

2020/05/27

มีหลายคนถามผมอยู่บ่อยๆ ว่า…

“ถ้ายังไม่มีประสบการณ์ จะทำยังไงให้ได้รับการเรียกไปสัมภาษณ์ ?”

“อยากเปลี่ยนสายงาน จะทำยังไงให้ได้รับการเรียกไปสัมภาษณ์ ?”

“อยากเปลี่ยนงาน อยากได้งานที่ท้าทายมากขึ้น จะทำยังไงให้ได้รับการเรียกไปสัมภาษณ์ ?”

จริงๆ แล้ว ผมคิดว่าคำถามที่ถูกกว่าคำถามเหล่านั้น มันควรจะถามว่า…

“จะทำ Resume แบบไหน ที่จะทำให้บริษัทฯ อยากเรียกไปสัมภาษณ์ ?”

สำหรับผมแล้ว มันไม่เคยมีกฎตายตัวอะไร แต่สิ่งที่ผมกำลังจะบอกให้คุณไปพิจารณา คือลักษณะของ Resume ที่ผมใช้ในการส่งผู้สมัครไปให้บริษัทฯ สัมภาษณ์ในช่วงเวลาที่ผมทำหน้าที่เป็น Head Hunter ซึ่งรวมๆ แล้ว ผมน่าจะทำ Resume ไปมากกว่าหนึ่งพันคน

โฆษณาเพิ่มเติมอีกนิดคือการที่ผมมีโอกาสอ่าน Resume ของผู้สมัครตลอดระยะเวลาการเป็น Head Hunter และ HR รวมๆ แล้วน่าจะเป็นหมื่นคนในระยะเวลากว่า 10 ปี คุณจะเชื่อหรือเปล่า ผมไม่ทราบ แต่ถ้าคุณอยากรู้ว่า ใน Resume ควรมีอะไรบ้าง และรูปแบบที่น่าสนใจเป็นแบบไหน ก็ขอให้ตามอ่านดู

ผมจะไม่บอกถึงเรื่องทั่วๆ ไป เพราะใครๆ ก็รู้ดีอยู่แล้ว ถ้าผมบอกไปอีกก็จะทำให้ยืดยาวและเสียเวลาจนเกินไป เริ่มเลยน่าจะดีกว่านะครับ

1. Resume คือ ใบโฆษณาขายตัวคุณ ตั้ง Mindset ให้ถูกตั้งแต่แรกจะได้เดินต่อไปในทิศทางที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นคิดไว้เสมอครับว่า Resume ไม่ใช่ประวัติส่วนตัวแบบธรรมดา เพราะมันคือ “ใบโฆษณา” ที่จะทำหน้าที่พูดแทนคุณ เพื่อที่จะบอกให้รู้ว่า “คุณมีอะไรดี และเกี่ยวกับงานที่คุณกำลังสมัครอยู่นี้อย่างไร”

2. สิ่งที่ทำให้ HR หยุดแล้วอ่าน Resume ของคุณก็คือ การใช้ภาษาง่ายๆ อย่าใช้ศัพท์อะไรที่ซับซ้อนหรือเป็นคำเฉพาะในบางกลุ่ม เช่นสูตรทางเคมีและชื่อเฉพาะทางเคมี เพราะอย่าลืมนะว่าคนที่อ่าน Resume ของคุณเป็นคนแรกคือ HR ที่อาจไม่ได้เรียนวิชาเฉพาะเหล่านี้มา ซึ่งผลลัพธ์ก็คืออ่านยาก ไม่เข้าใจ เขียนอะไรมาก็ไม่รู้ เอาเก็บไว้ก่อนน่าจะดีกว่า ยกเว้นเสียแต่ว่าคุณเขียนชื่อเฉพาะหรือชื่อสารเคมีนั้น ตรงเป๊ะตามที่ระบุไว้ใน Job Description ที่เขาทำการประกาศรับสมัครงานเอาไว้ อันนั้นก็อาจมีส่วนให้ได้ลุ้นขึ้นมาหน่อย เพราะฉะนั้นคุณต้องพิจารณาด้วยตัวของคุณเองนะ

3. “บอกตัวตน จุดแข็ง ประสบการณ์” อาจทำให้ HR รู้สึกสะดุดและอยากจะเห็นหน้าคุณ เพื่อเอามาดูซิว่า สิ่งที่คุณเขียนขึ้นมาคือเรื่องแต่งหรือเรื่องจริง ข้อนี้คือสิ่งที่ผมใช้มาตลอดในตอนที่ผมทำหน้าที่เป็น Head Hunter หรือแม้กระทั่ง HR ในบริษัทฯ เพราะผมต้องทำหน้าที่เชียร์ผู้สมัครให้ได้เรียกไปรับการสัมภาษณ์นั่นเอง ซึ่งผมคิดว่าอันนี้แหละคือคีย์สำคัญ เพราะมันจะดีกว่าที่คุณแค่บอกว่า “คุณอยากมาทำงานกับเขาเพราะอะไร” เพราะคำถามในหัวของ HR แบบผมคือ “ผมต้องรู้เรื่องนี้กับคุณด้วยมั้ยว่าคุณอยากมาทำงานนี้เพราะอยากมีประสบการณ์มากขึ้นและเรียนทางด้านนี้มา” ซึ่งจริงๆ แล้ว สิ่งที่ผมอยากรู้มากกว่าคือ “คุณจะสามารถทำงานและสร้างผลงานให้ผมได้มากน้อยแค่ไหน แล้วสิ่งที่คุณมีน่ะเกี่ยวกับตำแหน่งงานนี้และบริษัทฯนี้อย่างไรต่างหาก”

4. “เกี่ยวหรือไม่เกี่ยว จะรู้ได้อย่างไร” คำตอบง่ายๆ HR แบบผมก็จะอ่านก่อนว่า งานที่คุณทำในปัจจุบันเป็นตำแหน่งอะไร ชื่อตำแหน่งตรงกับที่สมัครมาไหม ถ้าตรงก็ง่ายหน่อย แต่ถ้ายังไม่ตรง ผมก็จะเหลือบสายตาลงไปดูที่หน้าที่ความรับผิดชอบของตำแหน่งงานที่คุณทำว่าคุณเคยทำอะไรมาก่อนบ้าง ซึ่งจริงๆ แล้ว คุณสามารถทำให้เขาหยุดและอาจไม่ต้องมาอ่านตรงนี้ก็ได้ ถ้าหากคุณใส่ “สิ่งที่คุณทำและประสบความสำเร็จในตำแหน่งงานปัจจุบัน ที่มันเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่คุณกำลังสมัครอยู่นั้น” ไว้ด้านบนก่อนที่จะถึงความรับผิดชอบแบบทั่วๆ ไปในตำแหน่งงานของคุณ เพราะมันจะเป็นตัวการันตีโดยตรงว่าคุณเคยทำงานนั้นมาแล้ว และเคยสำเร็จอะไรมาบ้าง แต่ถ้าหากคุณยังไม่เคยทำงานนั้นมาก่อน ผมแนะนำให้คุณเขียนข้อ 3 ออกมาให้เจ๋งที่สุด โดยใช้หลักการ “Why How What” คือ ทำไมคุณถึงมั่นใจที่จะมาสมัครงานข้ามสายงานแบบนี้ เคยสำเร็จอะไรมาบ้างเหรอ คุณมีวิธีการในการทำงานอย่างไร ถ้าเป็นไปได้ตรงกับวัฒนธรรมหรือคุณค่าหลัก (Core Value) ของบริษัทฯ ก็จะดี และสุดท้ายคุณมีอะไรดีที่จะทำให้บริษัทฯ สนใจจนอยากจะเรียกคุณไปเจอหน้าเจอตัวแล้วคุยกันแบบตัวเป็นๆ

5. Resume ไม่จำเป็นต้องมีแค่ 1 หน้าเสมอไป แต่ขอให้มีรูปแบบที่อ่านง่ายสบายตา เพราะว่า Simpler is Smarter ได้โปรดอย่าทำแบบเขาวงกต ต้องดูซ้ายแล้วย้ายมาขวา ขึ้นบนแล้วลงล่าง เพราะเดี๋ยวมันจะกลายเป็นต้องลงไปอยู่ข้างล่างใต้โต๊ะกันพอดี

6. Resume ที่ดูน่าสนใจ คืออันที่มีประสบการณ์แบบไล่ลำดับการเติบโต จากเล็กไปใหญ่ ในแบบที่ทำให้เห็นความก้าวหน้าในอาชีพ ไม่ใช่เดี๋ยวทำตำแหน่งหัวหน้า เดี๋ยวไปทำงานแบบตัวคนเดียว เดี๋ยวว่างงาน เดี๋ยวมีงานทำ เอาจริงๆ แล้ว หัวข้อนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับ Resume แต่แค่อยากจะมาบอกว่า ทำงานที่ไหนก็ขอให้ได้เห็นการก้าวหน้าก่อนเถอะ อย่าเพิ่งก้าวกระโดดแบบเร็วเกินไป เพราะมันจะกลายเป็นว่าคุณยังไม่มีทักษะและความสำเร็จอะไรที่แท้จริง

7. เบอร์โทรติดต่อต้องให้ชัด จะให้ Line ID ก็ควรจะต้องติดต่อได้ด้วย หรือไม่ว่าช่องทางไหนก็แล้วแต่ แค่ขอให้ชัดเจนและติดต่อได้ไว้ก่อน มิเช่นนั้นอาจไม่สามารถเชิญคุณมาสัมภาษณ์ได้ ทั้งๆ ที่อยากเจอเสียใจแทบขาด !!!

8. ข้อนี้สำคัญที่สุดของที่สุด คือ ข้อมูลทุกอย่างใน Resume ต้องเป็นความจริงเท่านั้น การโกหกจะทำให้คุณอาจได้ทำงานใหม่นั้นเพียงไม่กี่วัน แล้วก็ต้องเปลี่ยนสถานภาพมาเป็นคนว่างงานอีกที

โดยสรุปทั้งหมดทั้งมวลแล้ว ก่อนที่จะลงมือทำ Resume ผมอยากให้คุณรู้อยู่ 3 รู้ ดังนี้

1. รู้จักตัวเอง จุดแข็งคืออะไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เคยทำอะไรมาบ้าง อะไรที่เจ๋ง อะไรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ แล้วค่อยๆ เอาสิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่มีอยู่ในตัวคุณมาเทียบเคียงกับ Job Description ในประกาศรับสมัครงาน หน้าที่คุณมีอย่างเดียวคือต้องพยายามหาข้อมูลของตัวเองที่เกี่ยวกับงานที่กำลังสมัครให้ได้มากที่สุด บนพื้นฐานของความจริง

2. รู้งานและคุณสมบัติของตำแหน่งงาน โดยการอ่าน Job Description ในประกาศรับสมัครงานให้ละเอียด อย่าอ่านผ่านๆ หรืออ่านแค่ชื่อตำแหน่ง แต่ขอให้ทำความเข้าใจกับมันให้ดีที่สุด เพื่อที่จะได้เอาข้อมูลเหล่านั้นมาผสมผสานใน Resume ของเรา หรือที่เรียกกันแบบติดปากว่า Copy and Development เพราะว่ามันจะทำให้เกิดความเกี่ยวได้ง่ายที่สุด แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริงด้วยเช่นเดียวกัน

3. รู้จักบริษัทฯ และวัฒนธรรมในการทำงาน เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในการทำงานในปัจจุบันคือ “จริต” ของเราและบริษัทฯ นั้น สามารถไปกันด้วยดีมากน้อยแค่ไหน เพราะนี่มันคือตัวชี้วัดความสุขในการทำงานเลยทีเดียว เพราะการทำอะไรที่ตรงกับจริตของเรา ย่อมทำให้เกิดผลดีกับตัวเราและคนรอบข้างมากกว่า การที่จะต้องทำอะไรที่ฝืนๆ จนถึงขั้นต้อง “ดัด” ให้มันอยู่ใน “จริต” ที่ไม่ใช่ตัวเรา

ผมคิดว่าคุณคงพอจะเข้าใจและเห็นภาพแล้วล่ะว่า ก่อนที่จะสมัครงาน คุณควรคิดให้จบเสียก่อนว่ามีข้อมูลต่างๆ ที่ต้องการครบ เพียงพอที่จะนำมาใช้ในการทำ Resume อย่างที่ผมว่าไว้ว่า “สิ่งเร่งด่วนที่สุดของการสมัครงาน ไม่ใช่การทำ Resume เพราะมันคือการรู้ข้อมูลที่ผมแนะนำให้รู้ก่อน แล้วค่อยมาทำ Resume เพื่อสมัครงาน เข้าใจตรงกันเนอะ”

ที่มา www.dewhr.co

https://dewhr.co/2019/01/26/getresume/