10 คำถามสัมภาษณ์งานสุดเซอร์ไพรส์ ที่คุณไม่ได้เตรียมใจว่าจะเจอในห้องสัมภาษณ์

2020/05/27

ยังไงๆ เรื่องคำถามเพื่อเตรียมตัวไปสัมภาษณ์งานก็ยังเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของใครหลายๆ คน จนผมแอบตีความแบบคิดเองเออเองว่า ที่เราเปลี่ยนงานกันบ่อยก็เพราะสำหรับตลาดการหางานในบ้านเรานั้นมันเปิดกว้างและมีการสรรหาคนกันอยู่ตลอด นี่คือประเด็นที่หนึ่ง

ส่วนประเด็นอันลึกซึ้งที่ผมตั้งให้เป็นประเด็นที่สองก็คือ “เปลี่ยนงาน เท่ากับ เปลี่ยนเงิน !!! (แบบเยอะซะด้วยสิ)” ผมยินดีนะถ้าใครเห็นต่างและจะพิมพ์คอมเมนต์มาแลกเปลี่ยนความเห็นกัน

จริงๆ แล้วคำถามสัมภาษณ์งานมีเยอะมากเป็นกุรุส และถ้าคุณกำลังเตรียมตัวจะไปสัมภาษณ์งานอยู่ล่ะก็ แค่เพียงคุณพิมพ์คำว่า “คำถามสัมภาษณ์งาน” ลงในกูเกิ้ล ผมว่าคุณได้มาไม่ต่ำกว่าร้อยให้คุณไปเตรียมตอบกันแบบตาแฉะไปเลยทีเดียว

ดังนั้น ผมจะบอกว่าคุณจงอย่าคาดหวังว่าจะเจอคำถามแบบนั้นในบทความนี้ของผม เพราะมันธรรมดาเกินไป เพราะในบทความนี้ ผมจะมาเล่าเรื่อง “คำถามสัมภาษณ์งานสุดเซอร์ไพรส์ ที่คุณอาจไม่ได้เตรียมใจมาเจอมัน” เริ่มเลยก็แล้วกันนะครับ



1. จงอธิบายตัวคุณในคำๆ เดียว หรือแค่ประโยคสั้นๆ เท่านั้น
ซึ่งคำถามนี้เนี่ย คนสัมภาษณ์เค้าก็พยายามที่จะรู้จักตัวตนที่แท้ของคุณนั่นแหละ แต่แค่เพียงว่าถ้าจะให้คุณเล่าแบบยาวๆ มันก็กลายเป็นว่าจะได้ยินเฉพาะสิ่งที่คุณเตรียมมาเรียบร้อยแล้ว แต่พอให้บอกแค่คำเดียวหรือประโยคสั้นๆ มันจะทำให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่ในสภาวะกดดัน จนบางครั้งก็อาจเผลอพูดคำบางคำที่เป็นสิ่งที่คุณไม่อยากบอกก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นให้มีสติอยู่กับตัวนะครับ เวลาเจอคำถามนี้ ที่บางทีอาจไม่ได้ให้ตอบแค่หนึ่ง แต่มาถึงสาม เพราะผมเคยเจอมากับตัวแล้วจริงๆ

2. ช่วยเล่าประสบการณ์หรือเหตุการณ์ที่น่าสนใจที่คุณเพิ่งจะได้พบเจอมันในวันนี้ให้เราฟังหน่อยนะ
ผมมองว่าคำถามนี้จะบอกถึงความเป็นคนช่างสังเกตของตัวคุณบนโลกที่เราเอาแต่ก้มหน้าดูเหตุการณ์ผ่านหน้าจอมือถือและไม่เพียงแต่แค่สายตาเท่านั้น เพราะหูของเราก็ถูกปิดกั้นการได้ยินเสียงสิ่งแวดล้อมภายนอกด้วยหูฟังที่เราแทบจะใส่มันตลอดเวลาที่เราเดินทางระหว่างจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง ถ้าจะบอกว่าคุณอาจจะเจอคำถามที่เซอร์ไพรส์มากกว่านี้ก็เป็นได้ ถ้าคุณโดนถามว่า “มีอะไรน่าสนใจในบริษัทฯ เราบ้างตั้งแต่คุณก้าวเท้าเข้ามาในพื้นมี่ของเรา ช่วยเล่าให้ฟังสักเรื่องนึงจะได้ไหม”

3. อะไรที่ทำให้คุณรู้สึกรำคาญมากที่สุด
แน่นอนว่าการสัมภาษณ์งานผู้สมัครงานทุกครั้ง คนสัมภาษณ์ย่อมอยากรู้จักตัวตนที่แท้จริงของผู้สมัครงานไม่ว่าจะเป็นทางด้านที่ดีหรือทางด้านที่ต้องระมัดระวัง ซึ่งถ้าเอาตามความเป็นจริงแล้ว มนุษย์อย่างเราไม่มีใครเพอร์เฟคไปซะทุกอย่างแบบ 100% เพราะฉะนั้นควรลองนั่งนึกไว้บ้างเหมือนกันนะ ว่ามีอะไรบ้างที่ทำให้คุณรู้สึกรำคาญในการทำงานแต่ละวัน คุณสามารถจัดการกับมันอย่างไรได้บ้าง แล้วมันจะสามารถเข้ากันได้กับวัฒนธรรมองค์กรที่คุณกำลังสมัครงานอยู่หรือเปล่า ซึ่งถ้าจะให้ผมแนะนำก็คือว่า พยายามเป็นคนที่รำคาญอะไรน้อยหน่อยแล้วพยายามเข้าใจมันมากหน่อยน่าจะดีกว่า เพราะนี่จะแสดงให้เห็นว่าคุณมีทักษะในการปรับตัวที่ดีนั่นเอง

4. คุณให้คำจำกัดความคำว่า “ประสบความสำเร็จ” ไว้อย่างไร
คำถามนี้ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องเสมอหรอกครับ ประเด็นคือผู้สัมภาษณ์กำลังต้องการรู้ว่า คุณมีความใส่ใจกับเรื่องของงานและวัตถุประสงค์ของงานมากน้อยแค่ไหน คุณรู้หรือไม่ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญหรือปัจจัยที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในหน้าที่ความรับผิดชอบของคุณ และที่สำคัญก็คือคุณค่าที่คุณยึดถือเพื่อความสำเร็จในงานของคุณนั้น มันตรงตามความต้องการของบริษัทที่คุณกำลังสัมภาษณ์อยู่ด้วยหรือเปล่า

5. คุณคิดว่าคุณเป็นคนโชคดีหรือเปล่า
คำถามนี้อาจดูกวนหน่อยๆ เพราะคุณอาจคิดว่า “อะไรกัน โชคดีอย่างนั้นเหรอ ไม่ใช่สิ สิ่งที่ผ่านมามันคือความสามารถของคุณล้วนๆ ต่างหาก” แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่คนสัมภาษณ์กำลังอยากเห็นก็คือ คุณเป็นคนมองโลกแบบไหน คุณคิดถึงผู้อื่นบ้างหรือไม่ โดยเฉพาะคนที่เคยช่วยเหลือให้คุณประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า หัวหน้า ลูกน้อง จนถึงผู้คนรอบข้างคุณ เพราะถ้าปราศจากความช่วยเหลือของใครบางคน มันก็อาจทำให้คุณประสบกับอุปสรรคบางอย่างก็เป็นได้ ซึ่งนี่แหละคือความหมายของคำว่า “โชคดี”

6. ช่วยเล่าเหตุการณ์ให้เราฟังหน่อยเวลาที่คุณไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำจากหัวหน้างาน คุณทำอย่างไร
คำถามนี้ผมว่าหลายคนอาจมีเซอร์ไพรส์และแอบตกใจอยู่เล็กๆ เพราะผมเชื่อว่าร้อยทั้งร้อย เราเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะอยากพูดถึงมันหรือเล่าให้ใครฟังหรือเปล่า สิ่งที่สำคัญคือคุณสามารถเล่าเหตุการณ์นี้ได้ตามความเป็นจริงในกรอบที่ว่า เหตุการณ์นั้นเป็นอย่างไร คุณทำอะไรลงไปบ้างในสถานการณ์นั้น คุณไม่เห็นด้วยแล้วมีการนำเสนอแนวทางอื่นๆ หรือเปล่า หรือพยายามโน้มน้าวหัวหน้าของคุณบ้างหรือไม่ แล้วผลเป็นอย่างไร ซึ่งอันนี้แหละที่จะเป็นการแสดงถึงความเป็นมืออาชีพของคุณ มากกว่าที่คุณจะตอบว่าคุณบ้นหัวหน้าไปมากน้อยแค่ไหน เพราะนั่นมันก็แสดงออกมาเหมือนกันว่าคุณไม่มีความเป็นมืออาชีพในการทำงานเลย

7. คุณเคยทำงานในลักษณะของโครงการหรือไม่ แล้วคุณมีหน้าที่ความรับผิดชอบอะไรในงานนั้น เพื่อจะทำให้โครงการนั้นสำเร็จไปได้ด้วยดี
จริงๆ แล้วคนเก่งหรือคนที่มีภาวะผู้นำ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำของงานโครงการทั้งที่ธรรมดาๆ และพิเศษในทุกครั้งไป แต่คนที่จะกลายเป็นคนเก่งและมีภาวะผู้นำได้จะต้องรู้ว่าบทบาทของเขาในงานโครงการคืออะไร แล้วปัจจัยอะไรเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้โครงการนั้นสำเร็จได้ภายใต้หน้าที่ความรับผิดชอบในงานโครงการนั้นๆ ของเขา งานโครงการอาจเป็นได้หลายอย่างที่ไม่จำเป็นต้องเป็นงานก่อสร้างเสมอไป ทีนี้คุณลองนึกดูหน่อยสิครับว่า คุณเคยผ่านงานโครงการแบบไหนมาบ้าง แล้วคุณรับผิดชอบเรื่องอะไร และมันเป็นปัจจัยที่ทำให้โครงการนั้นสำเร็จหรือเปล่า

8. คุณเคยผิดพลาดหรือล้มเหลวบ้างไหม แล้วคุณได้เรียนรู้อะไรจากมันบ้าง
มันคงจะพูดได้ยากถ้าหากคุณจะบอกว่า “ไม่เคยเลย” คำถามนี้อาจฟังดูยากและไม่น่าตอบในตอนแรก แต่ถ้าหากคิดดูดีๆ แล้ว คำถามนี้จะทำให้คุณได้แสดงออกถึงความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองตลอดไปจนถึงความสามารถในการเรียนรู้ของคุณไปด้วยในตัว ซึ่งสิ่งสำคัญหนึ่งอย่างของคนที่สามารถผ่านเหตุการณ์แย่ๆ แบบนั้นมาพร้องกับการเรียนรู้อะไรบางอย่างก็คือ “ภูมิคุ้มกัน” ที่คุณจะไม่ทำให้มันเกิดขึ้นอีก ซึ่งสิ่งนี้แหละที่บริษัทฯ ต้องการ เพราะมันเป็นการบอกกับผู้สัมภาษณ์กลายๆ ว่า “คุณรู้แล้ว คุณมีประสบการณ์แล้ว และมันจะไม่เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน !!!”

9. มีอะไรที่จะมาเปลี่ยนแปลง (Disrupt) งานของคุณบ้างหรือเปล่า แล้วคุณเตรียมรับมือกับมันไว้อย่างไร
กระแสของการ Disrupt ในโลกยุคปัจจุบันค่อนข้างรุนแรงเหลือเกิน และคำถามนี้ก็จะพาไปให้รู้จักตัวคุณว่า มีการเรียนรู้หรือศึกษาอยู่ตลอดเวลาหรือไม่ ว่ามันจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่สำคัญๆ ในหน้าที่การงานของคุณในตอนนี้บ้างหรือเปล่า เราคงเคยได้ยินและได้เห็นกันมาบ้าง ที่อยู่ดีๆ งานบางงานก็หายไปพร้อมกับการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องให้คนมาทำหน้าที่ประจำการ แล้วตอนนี้งานของคุณจะถูก Disrupt บ้างหรือเปล่า คุณรู้หรือยัง แล้วเตรียมรับมือกับมันไว้อย่างไรบ้าง

10. อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณเป็นคนที่ถูกจดจำในที่ทำงานปัจจุบันของคุณ แล้วทำไมผู้คนถึงจดจำคุณในแบบนั้น
ผมคิดว่าคำถามนี้ซับซ้อนพอสมควร แต่ก็เป็นคำถามที่ทำให้ได้รู้จักตัวตนของคนที่กำลังถูกสัมภาษณ์ได้ดีทีเดียวเลยเช่นกัน เพราะการที่ใครซักคนจะถูกจดจำด้วยภาพอะไรบางอย่าง แสดงว่าเขาต้องทำพฤติกรรมแบบนั้นอยู่บ่อยๆ หรือต้องมีเหตุให้ทำอะไรบางอย่างเพื่อเป็นประโยชน์หรือโทษให้กับบางคนหรือบางกลุ่ม แต่ทางที่ดีคุณควรนึกถึงและตอบออกมาถึงเรื่องที่ดีมากกว่า ยกเว้นเสียแต่ว่าตอนนั้นคุณจะพลั้งเผลอจนตอบออกมาเป็นเรื่องที่ไม่เกั่ยวกับงาน เช่น “เป็นคนตลกครับ เพราะเพื่อนร่วมงานชอบเอาเรื่องผมไปอำอย่างสนุกสนานในวงสนทนา แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ถ้าเรื่องของผมและการถูกจดจำของผม จะทำให้ทุกคนสนุกและรู้สึกใกล้ชิดกันมากขึ้น จนทำให้เกิดการทำงานเป็นทีม อันนี้ผมยอมเป็นคนที่โดนอำและถูกจดจำในแบบนี้ครับ” อันนี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่คนตอบพอจะกลับตัวพลิกสถานการณ์ให้กลับมาเป็นบวกได้ในความคิดผมนะครับ







นี่แหละครับ 10 คำถามที่อาจจะมาเซอร์ไพรส์คุณได้ในห้องสัมภาษณ์หากว่าคุณจะไม่เคยเห็นและได้เตรียมตัวเอาไว้ก่อน

ผมยังยืนยันของผมแบบเดิมว่า เราเตรียมคำตอบไปได้แต่ขออย่างเดียวว่าขอให้เป็นคำตอบที่มาจากเรื่องจริงและเป็นตัวของตัวเอง อย่าตอบเพื่อเอาใจหรือพยายามเป็นในสิ่งที่คุณไม่ได้เป็น

การสัมภาษณ์งานคือการเลือกกันของทั้งสองฝ่าย บริษัทเลือกคุณและคุณก็เลือกบริษัท เพราะไม่อย่างนั้นแล้วมันจะก่อให้เกิดความอึดอัด ถ้าหากคุณไม่ได้เป็นตัวเองในตอนที่เข้าไปทำงาน แล้วมันก็จะพาลให้คุณต้องไปหางานใหม่อยู่ดี

ขอให้ทุกคนโชคดีและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานครับผม

ที่มา www.dewhr.co

https://dewhr.co/2019/02/12/c0024/