คุณเป็นใครเมื่อไปสมัครงาน? “หน้ากากสมัครงาน ถอดหน้ากากครับ !!!”
2020/05/27
เสียงคุณกันต์ กันตถาวร กำลังบอกให้ผมถอดหน้ากากสมัครงานที่ปิดบังใบหน้าผมไว้ออกมา หลังจากที่ถูกคณะกรรมการสัมภาษณ์ทำการสอบถามผมผ่านไปแล้วในเวลา 2 นาที แต่แล้วก็กลายเป็นผมที่ปิดบังอำพรางตัวเองไว้ไม่มิด จนเป็นเหตุให้คุณกันต์ต้องสั่งให้ผมถอดหน้ากากออกมาเพื่อเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงนั่นแล
ใช่แล้วล่ะครับ วันนี้จะมาเล่าให้อ่านผ่านตัวหนังสือ ที่ว่ากันด้วยเรื่อง เทคนิคในการถอดหน้ากากสมัครงานออกจากหน้าผู้สมัครของเรา ที่ล้วนเตรียมตัวมาตอบคำถามได้เป็นอย่างดี
ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะในยูทูป กูเกิล หรือเฟสบุ๊ค ต้องถือว่าเป็นยุคที่มีข้อมูลเรื่องการเตรียมตัวสัมภาษณ์งานอยู่เต็มจนล้นกันไปเลยจริงๆ
เพราะฉะนั้นถ้าพวกเราเหล่า HR จะไม่ฝึกหัดจนเชี่ยวในเทคนิคการคัดเลือกคนเพื่อใช้ในการถอดหน้ากากสมัครงานแล้วล่ะก็คงจะยากเหลือทีที่จะได้รู้ตัวตนที่แท้จริงภายใต้หน้ากากที่ผู้สมัครอาจใส่มาสัมภาษณ์งานในวันที่ต้องเจอกับพวกเรา เพราะนั่นอาจทำให้เราหลงผิดและพลาดไป มัวแต่มึนงงกับรอยยิ้มและคำตอบที่ดูเหมือนใช่ จนวางใจคัดเลือกคนคนนั้นเข้ามาทำงาน
และนี่แหละครับคือเหตุผลที่ผมอยากจะเอามาเล่าให้ได้เข้าใจกันถึงวิธีการของการถอดหน้ากากในวันสัมภาษณ์งาน !!!
คำถามประเภท “คุณชอบทำงานแบบไหน“ “ชอบหัวหน้าแบบไหน“ “ถ้าเจอเพื่อนร่วมงานทำแบบนี้คุณจะทำอย่างไร” และอีกหลายๆ คำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “ถ้า” ต่างๆ นานา เห็นทีว่าคุณคงจะไม่ได้คำตอบอะไรที่มากมายไปกว่าคำตอบในแบบที่เป็นบล็อคเดียวกัน นั่นคือคำตอบที่ทำให้เรารู้สึกถูกใจและชอบพอ แต่สุดท้ายก็ยังบอกไม่ได้อยู่ดีว่านั่นคือตัวตนของเขาหรือพฤติกรรมที่เขาเคยทำมาแล้วจริงๆ
ผมมีเทคนิคมาแนะนำ แต่ใครจะทำตามหรือไม่ อันนี้ก็แล้วแต่ใครจะพิจารณา เทคนิคที่ว่าไม่ได้มีอะไรยุ่งยากวุ่นวายจนเกินไป แต่คุณอาจต้องใช้เวลาในการฝึกและพัฒนา ผมไม่ได้หมายถึงทุกคนหรอกนะ แต่อาจมีบางคนที่อาจจะยังไม่เคยใช้วิธีการเหล่านี้มาก่อนเลยก็ได้
เปลี่ยน Mindset ใหม่จากการใช้คำว่า “สัมภาษณ์พนักงาน” มาเป็น “การคัดเลือกพนักงาน”
เพราะเมื่อไหร่ที่เราใช้คำว่าสัมภาษณ์ สมองมันจะพาเราไปนึกถึงการตั้งคำถามโดยทันที ซึ่งจริงๆ แล้ว วัตถุประสงค์ในการสรรหาคนเข้ามาทำงาน เราอาจไม่ได้ต้องการคนที่ตอบคำถามได้เก่ง แต่เราน่าจะต้องการคัดเลือกคนที่สามารถเข้ากันได้กับองค์กร ทีมงาน และมีความรู้ความสามารถในงานที่จะให้ทำ ด้วยการแสดงให้เห็นถึงผลงานที่ผ่านมาแล้วนั่นเอง ซึ่งเมื่อเราใช้คำว่า “การคัดเลือกพนักงาน” สมองคุณก็จะเปิดกว้างไปได้อีกหลายวิธีที่ไม่ติดกับอยู่กับการนั่งถามคำถามกันไปมาเพียงอย่างเดียว
ใช้วิธีการ Role Play บ้างก็ได้
หากตำแหน่งที่คุณกำลังทำการคัดเลือกอยู่นั้น สามารถให้ทำบทบาทสมมติอะไรได้บางอย่าง เรื่องนี้ผมเคยเจอมาเองกับตัวในสมัยที่มีความอยากจะเป็นเซลล์จนเข้าขั้น ถึงขั้นทนไม่ไหวต้องไปสมัครตำแหน่งนี้ให้เขาคัดเลือกผมเข้าทำงาน และสิ่งที่ผมเจอก็คือสิ่งที่ง่ายที่สุดแต่ตอบได้ยากที่สุด และต้องมีไหวพริบปฏิภาณรวมถึงความสามารถในการเป็นเซลล์ในขั้นอาจจะสูงสูดกับสถานการณ์ที่ผมได้รับมอบหมายในเวลานั้น ตอนนั้น คือ “น้องช่วยลุกขึ้น แล้วขายเก้าอี้ตัวที่น้องนั่งให้พี่ซื้อหน่อย” แม่จ้าวววว “นี่พี่ไม่ต้องคิดอะไรเลยใช่มั้ย ผมสมัครมาขายสารเคมี แต่พี่มาให้ผมขายเก้าอี้ตัวนี้นี่อะนะ อะไรกันนี่ !!!” ผมไม่ได้อุทานอะไร แค่คิดในใจเท่านั้นล่ะ คุณคงรู้คำตอบดีอยู่แล้วล่ะว่าผมได้งานนั้นหรือไม่ เพราะตอนนี้ผมกำลังเขียนบทความเกี่ยวกับ HR และทำงานทางด้าน HR อยู่ (ถ้ามุกนี้ไม่ฮา โปรดให้อภัย)
สร้างสถานการณ์ที่ทำให้สังเกตพฤติกรรมอะไรบางอย่างได้
ลักษณะนี้อาจจะต้องทำกิจกรรมเป็นกลุ่มนิดนึง โดยที่คุณก็ต้องตั้งโจทย์ขึ้นมาก่อนว่าคุณอยากสังเกตพฤติกรรมของพวกเขาทางด้านไหน ไม่ใช่ว่าให้สร้างก็สร้างเลย โดยไม่คิดอะไร เพราะคุณก็จะไม่ได้อะไรขึ้นมาเช่นกัน พูดแบบนี้คุณอาจจะกำลังเคืองผมอยู่ว่าแล้วพี่จะเอามาบอกเพื่อ ??? เอาแบบนี้ก็ได้ จะยกตัวอย่างให้ 1 ตัวอย่างถ้วนๆ ผมอยากสังเกตพฤติกรรมการทำงานเป็นทีม ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ผมก็เลยสร้างกิจกรรมขึ้นมาโดยให้ผู้สมัครงาน ทำกิจกรรมการสร้างหอคอยร่วมกัน โดยมีอุปกรณ์ที่ไม่น่าจะสามารถทำได้ให้ เช่น กระดาษ หลอด เทปกาว กรรไกร โดยมีข้อแม้ว่าหอคอยต้องสูงที่สุดและสามารถรับน้ำหนักขนม 1 ชั้น ที่มีน้ำหนักประมาณ 200 กรัมได้ ให้เวลาทำ 30 นาที จบ เริ่มได้ เอ้า ลุย !!!
ข้อนี้เอาแบบคลาสสิกบ้างก็แล้วกัน คือการถามคำถามเชิงพฤติกรรมนั่นแล
ก็อย่างที่เรารู้ๆ กันแหละครับว่าคำถามเชิงพฤติกรรมก็ยังเป็นอะไรที่คลาสสิกและที่เรายังคงต้องทำอยู่ เพราะเราอาจไม่สามารถจัดกิจกรรมโดยให้คนคนเดียวที่มาสมัครงานกับเราทำได้ เพราะเค้าคนนั้นคงจะแปลกใจว่าบริษัทฯ นี้อะไรของมันนัดมาสัมภาษณ์ 1 วันแล้วให้ทำกิจกรรมทั้ง 8 ชั่วโมง
คำถามเชิงพฤติกรรมที่คุ้นเคยก็คือ STAR Concept นั่นแหละ ที่ว่ากันด้วยเรื่อง Situation (สถานการณ์เป็นอย่างไร) – Task (มีอะไรที่ต้องจัดการ) – Action (จัดการไปอย่างไร) – Result (ผลลัพธ์ที่ได้เป็นอย่างไร) ยกตัวอย่างให้อีก 1 ตัวอย่างเพื่อการทำความเข้าใจที่มากขึ้นก็แล้วกัน เช่น คุณกำลังอยากรู้ว่าเค้าคนนั้นมีพฤติกรรมที่มุ่งเน้นต่อผลสัมฤทธิ์ของงานหรือไม่ คุณก็อาจจะถามเขาออกไปว่า “ช่วยยกตัวอย่างงานที่คุณทำแล้วประสบความสำเร็จสูงสุดจนคุณประทับใจมาให้ฟังหน่อย” แล้วอาจตามด้วยคำถามน้อยๆ อีกว่า “คุณทำอย่างไร เจออุปสรรคอะไรบ้างไหมในตอนที่ลงมือทำ แล้วผ่านมันมาได้อย่างไรจนทำให้คุณประทับใจงานนั้นได้จนถึงทุกวันนี้”
บางคนอาจบอกว่า แม่จ้าวววว !!! นี่แค่คำถามเพื่อหาพฤติกรรมการมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ของงานเพียงอันเดียวหรือนี่ ทำไมมันยาวจัง ผมก็จะตอบว่า พ่อจ้าวววว !!! (เพื่ออะไรเนี่ย)
ถ้าคุณประเมินให้ดีและฟังคำตอบให้ดี คุณอาจได้เห็นพฤติกรรรมตัวอื่นที่ติดสอยห้อยตามกันมา
ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมในการวางแผน การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การหาและให้ความร่วมมือ และอีกร้อยแปดพันประการตามที่หูคุณจะได้ยินและสมองจะประมวลผลออกมา
แต่ที่สำคัญก็คือคุณต้องรู้ก่อนว่าพฤติกรรมที่คุณต้องการหาสำหรับตำแหน่งงานนั้นคืออะไร และพฤติกรรมแบบไหนที่คุณต้องการ มิเช่นนั้น คุณก็จะได้รับการฟังเรื่องราวแบบรื่นหูดูดี แต่ไม่ได้อะไรเลย !!!
เทคนิคในการถอดหน้ากากนั้นมีได้มากมายหลายเทคนิค สิ่งที่ผมเอามาแนะนำก็อาจเป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้นเอง แต่เรื่องหลักเรื่องสำคัญในการคัดเลือกคน ก็คือการที่ต้องทำให้เห็นได้ถึงพฤติกรรมที่เขาคนนั้นมีอยู่ในตัวตนอย่างแท้จริงภายใต้หน้ากากที่เขาใส่มาสมัครงานและต้องการให้เราคัดเลือกเขาเข้ามาร่วมงาน
และบทสรุปส่งท้ายภายใต้หน้ากากสมัครงานก็จะมีอยู่ว่า
“การคัดเลือกคนเข้าทำงานอย่างถูกวิธีอาจทำให้มองเห็นอะไรบางอย่างได้ในช่วงสั้น แต่ถ้าเป็นเรื่องของพฤติกรรมนั้น มันต้องดูกันยาวๆ”
เพราะที่สุดแล้วมันจะไม่มีใครหรอกที่สามารถใส่หน้ากากที่ไม่ใช่ตัวเราไปทำงานอยู่ได้ทุกเมื่อเชื่อวัน การเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงทั้งฝั่งคนสัมภาษณ์และคนสมัครงาน เพื่อที่จะคัดเลือกเอาคนที่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข น่าจะเป็นสิ่งที่ยั่งยืนกว่านั่นเอง
“ถอดหน้ากากออกเถอะครับ” ประโยคนี้คุณกันต์ไม่ได้กล่าว แต่เป็นผมนี่ล่ะที่อยากจะฝากบอกไปถึงทุกๆ คน ด้วยความรักและห่วงใย
อุ๊ย !!! ทำไมจบแบบซึ้งแบบนี้ไปได้ไงฟระเนี่ย ช่วยปรับอารมณ์ตามหน่อยก็แล้วกันเนอะ
ที่มา www.dewhr.co
https://dewhr.co/2018/10/18/c0003/
ใช่แล้วล่ะครับ วันนี้จะมาเล่าให้อ่านผ่านตัวหนังสือ ที่ว่ากันด้วยเรื่อง เทคนิคในการถอดหน้ากากสมัครงานออกจากหน้าผู้สมัครของเรา ที่ล้วนเตรียมตัวมาตอบคำถามได้เป็นอย่างดี
ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะในยูทูป กูเกิล หรือเฟสบุ๊ค ต้องถือว่าเป็นยุคที่มีข้อมูลเรื่องการเตรียมตัวสัมภาษณ์งานอยู่เต็มจนล้นกันไปเลยจริงๆ
เพราะฉะนั้นถ้าพวกเราเหล่า HR จะไม่ฝึกหัดจนเชี่ยวในเทคนิคการคัดเลือกคนเพื่อใช้ในการถอดหน้ากากสมัครงานแล้วล่ะก็คงจะยากเหลือทีที่จะได้รู้ตัวตนที่แท้จริงภายใต้หน้ากากที่ผู้สมัครอาจใส่มาสัมภาษณ์งานในวันที่ต้องเจอกับพวกเรา เพราะนั่นอาจทำให้เราหลงผิดและพลาดไป มัวแต่มึนงงกับรอยยิ้มและคำตอบที่ดูเหมือนใช่ จนวางใจคัดเลือกคนคนนั้นเข้ามาทำงาน
และนี่แหละครับคือเหตุผลที่ผมอยากจะเอามาเล่าให้ได้เข้าใจกันถึงวิธีการของการถอดหน้ากากในวันสัมภาษณ์งาน !!!
คำถามประเภท “คุณชอบทำงานแบบไหน“ “ชอบหัวหน้าแบบไหน“ “ถ้าเจอเพื่อนร่วมงานทำแบบนี้คุณจะทำอย่างไร” และอีกหลายๆ คำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “ถ้า” ต่างๆ นานา เห็นทีว่าคุณคงจะไม่ได้คำตอบอะไรที่มากมายไปกว่าคำตอบในแบบที่เป็นบล็อคเดียวกัน นั่นคือคำตอบที่ทำให้เรารู้สึกถูกใจและชอบพอ แต่สุดท้ายก็ยังบอกไม่ได้อยู่ดีว่านั่นคือตัวตนของเขาหรือพฤติกรรมที่เขาเคยทำมาแล้วจริงๆ
ผมมีเทคนิคมาแนะนำ แต่ใครจะทำตามหรือไม่ อันนี้ก็แล้วแต่ใครจะพิจารณา เทคนิคที่ว่าไม่ได้มีอะไรยุ่งยากวุ่นวายจนเกินไป แต่คุณอาจต้องใช้เวลาในการฝึกและพัฒนา ผมไม่ได้หมายถึงทุกคนหรอกนะ แต่อาจมีบางคนที่อาจจะยังไม่เคยใช้วิธีการเหล่านี้มาก่อนเลยก็ได้
เปลี่ยน Mindset ใหม่จากการใช้คำว่า “สัมภาษณ์พนักงาน” มาเป็น “การคัดเลือกพนักงาน”
เพราะเมื่อไหร่ที่เราใช้คำว่าสัมภาษณ์ สมองมันจะพาเราไปนึกถึงการตั้งคำถามโดยทันที ซึ่งจริงๆ แล้ว วัตถุประสงค์ในการสรรหาคนเข้ามาทำงาน เราอาจไม่ได้ต้องการคนที่ตอบคำถามได้เก่ง แต่เราน่าจะต้องการคัดเลือกคนที่สามารถเข้ากันได้กับองค์กร ทีมงาน และมีความรู้ความสามารถในงานที่จะให้ทำ ด้วยการแสดงให้เห็นถึงผลงานที่ผ่านมาแล้วนั่นเอง ซึ่งเมื่อเราใช้คำว่า “การคัดเลือกพนักงาน” สมองคุณก็จะเปิดกว้างไปได้อีกหลายวิธีที่ไม่ติดกับอยู่กับการนั่งถามคำถามกันไปมาเพียงอย่างเดียว
ใช้วิธีการ Role Play บ้างก็ได้
หากตำแหน่งที่คุณกำลังทำการคัดเลือกอยู่นั้น สามารถให้ทำบทบาทสมมติอะไรได้บางอย่าง เรื่องนี้ผมเคยเจอมาเองกับตัวในสมัยที่มีความอยากจะเป็นเซลล์จนเข้าขั้น ถึงขั้นทนไม่ไหวต้องไปสมัครตำแหน่งนี้ให้เขาคัดเลือกผมเข้าทำงาน และสิ่งที่ผมเจอก็คือสิ่งที่ง่ายที่สุดแต่ตอบได้ยากที่สุด และต้องมีไหวพริบปฏิภาณรวมถึงความสามารถในการเป็นเซลล์ในขั้นอาจจะสูงสูดกับสถานการณ์ที่ผมได้รับมอบหมายในเวลานั้น ตอนนั้น คือ “น้องช่วยลุกขึ้น แล้วขายเก้าอี้ตัวที่น้องนั่งให้พี่ซื้อหน่อย” แม่จ้าวววว “นี่พี่ไม่ต้องคิดอะไรเลยใช่มั้ย ผมสมัครมาขายสารเคมี แต่พี่มาให้ผมขายเก้าอี้ตัวนี้นี่อะนะ อะไรกันนี่ !!!” ผมไม่ได้อุทานอะไร แค่คิดในใจเท่านั้นล่ะ คุณคงรู้คำตอบดีอยู่แล้วล่ะว่าผมได้งานนั้นหรือไม่ เพราะตอนนี้ผมกำลังเขียนบทความเกี่ยวกับ HR และทำงานทางด้าน HR อยู่ (ถ้ามุกนี้ไม่ฮา โปรดให้อภัย)
สร้างสถานการณ์ที่ทำให้สังเกตพฤติกรรมอะไรบางอย่างได้
ลักษณะนี้อาจจะต้องทำกิจกรรมเป็นกลุ่มนิดนึง โดยที่คุณก็ต้องตั้งโจทย์ขึ้นมาก่อนว่าคุณอยากสังเกตพฤติกรรมของพวกเขาทางด้านไหน ไม่ใช่ว่าให้สร้างก็สร้างเลย โดยไม่คิดอะไร เพราะคุณก็จะไม่ได้อะไรขึ้นมาเช่นกัน พูดแบบนี้คุณอาจจะกำลังเคืองผมอยู่ว่าแล้วพี่จะเอามาบอกเพื่อ ??? เอาแบบนี้ก็ได้ จะยกตัวอย่างให้ 1 ตัวอย่างถ้วนๆ ผมอยากสังเกตพฤติกรรมการทำงานเป็นทีม ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ผมก็เลยสร้างกิจกรรมขึ้นมาโดยให้ผู้สมัครงาน ทำกิจกรรมการสร้างหอคอยร่วมกัน โดยมีอุปกรณ์ที่ไม่น่าจะสามารถทำได้ให้ เช่น กระดาษ หลอด เทปกาว กรรไกร โดยมีข้อแม้ว่าหอคอยต้องสูงที่สุดและสามารถรับน้ำหนักขนม 1 ชั้น ที่มีน้ำหนักประมาณ 200 กรัมได้ ให้เวลาทำ 30 นาที จบ เริ่มได้ เอ้า ลุย !!!
ข้อนี้เอาแบบคลาสสิกบ้างก็แล้วกัน คือการถามคำถามเชิงพฤติกรรมนั่นแล
ก็อย่างที่เรารู้ๆ กันแหละครับว่าคำถามเชิงพฤติกรรมก็ยังเป็นอะไรที่คลาสสิกและที่เรายังคงต้องทำอยู่ เพราะเราอาจไม่สามารถจัดกิจกรรมโดยให้คนคนเดียวที่มาสมัครงานกับเราทำได้ เพราะเค้าคนนั้นคงจะแปลกใจว่าบริษัทฯ นี้อะไรของมันนัดมาสัมภาษณ์ 1 วันแล้วให้ทำกิจกรรมทั้ง 8 ชั่วโมง
คำถามเชิงพฤติกรรมที่คุ้นเคยก็คือ STAR Concept นั่นแหละ ที่ว่ากันด้วยเรื่อง Situation (สถานการณ์เป็นอย่างไร) – Task (มีอะไรที่ต้องจัดการ) – Action (จัดการไปอย่างไร) – Result (ผลลัพธ์ที่ได้เป็นอย่างไร) ยกตัวอย่างให้อีก 1 ตัวอย่างเพื่อการทำความเข้าใจที่มากขึ้นก็แล้วกัน เช่น คุณกำลังอยากรู้ว่าเค้าคนนั้นมีพฤติกรรมที่มุ่งเน้นต่อผลสัมฤทธิ์ของงานหรือไม่ คุณก็อาจจะถามเขาออกไปว่า “ช่วยยกตัวอย่างงานที่คุณทำแล้วประสบความสำเร็จสูงสุดจนคุณประทับใจมาให้ฟังหน่อย” แล้วอาจตามด้วยคำถามน้อยๆ อีกว่า “คุณทำอย่างไร เจออุปสรรคอะไรบ้างไหมในตอนที่ลงมือทำ แล้วผ่านมันมาได้อย่างไรจนทำให้คุณประทับใจงานนั้นได้จนถึงทุกวันนี้”
บางคนอาจบอกว่า แม่จ้าวววว !!! นี่แค่คำถามเพื่อหาพฤติกรรมการมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ของงานเพียงอันเดียวหรือนี่ ทำไมมันยาวจัง ผมก็จะตอบว่า พ่อจ้าวววว !!! (เพื่ออะไรเนี่ย)
ถ้าคุณประเมินให้ดีและฟังคำตอบให้ดี คุณอาจได้เห็นพฤติกรรรมตัวอื่นที่ติดสอยห้อยตามกันมา
ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมในการวางแผน การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การหาและให้ความร่วมมือ และอีกร้อยแปดพันประการตามที่หูคุณจะได้ยินและสมองจะประมวลผลออกมา
แต่ที่สำคัญก็คือคุณต้องรู้ก่อนว่าพฤติกรรมที่คุณต้องการหาสำหรับตำแหน่งงานนั้นคืออะไร และพฤติกรรมแบบไหนที่คุณต้องการ มิเช่นนั้น คุณก็จะได้รับการฟังเรื่องราวแบบรื่นหูดูดี แต่ไม่ได้อะไรเลย !!!
เทคนิคในการถอดหน้ากากนั้นมีได้มากมายหลายเทคนิค สิ่งที่ผมเอามาแนะนำก็อาจเป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้นเอง แต่เรื่องหลักเรื่องสำคัญในการคัดเลือกคน ก็คือการที่ต้องทำให้เห็นได้ถึงพฤติกรรมที่เขาคนนั้นมีอยู่ในตัวตนอย่างแท้จริงภายใต้หน้ากากที่เขาใส่มาสมัครงานและต้องการให้เราคัดเลือกเขาเข้ามาร่วมงาน
และบทสรุปส่งท้ายภายใต้หน้ากากสมัครงานก็จะมีอยู่ว่า
“การคัดเลือกคนเข้าทำงานอย่างถูกวิธีอาจทำให้มองเห็นอะไรบางอย่างได้ในช่วงสั้น แต่ถ้าเป็นเรื่องของพฤติกรรมนั้น มันต้องดูกันยาวๆ”
เพราะที่สุดแล้วมันจะไม่มีใครหรอกที่สามารถใส่หน้ากากที่ไม่ใช่ตัวเราไปทำงานอยู่ได้ทุกเมื่อเชื่อวัน การเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงทั้งฝั่งคนสัมภาษณ์และคนสมัครงาน เพื่อที่จะคัดเลือกเอาคนที่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข น่าจะเป็นสิ่งที่ยั่งยืนกว่านั่นเอง
“ถอดหน้ากากออกเถอะครับ” ประโยคนี้คุณกันต์ไม่ได้กล่าว แต่เป็นผมนี่ล่ะที่อยากจะฝากบอกไปถึงทุกๆ คน ด้วยความรักและห่วงใย
อุ๊ย !!! ทำไมจบแบบซึ้งแบบนี้ไปได้ไงฟระเนี่ย ช่วยปรับอารมณ์ตามหน่อยก็แล้วกันเนอะ
ที่มา www.dewhr.co
https://dewhr.co/2018/10/18/c0003/